ค้นหาสินค้า

ต้นสะตออีสาน สะตอโคราช ลูกดิ่ง

ร้าน วรากรสมุนไพร
ชื่อสินค้า:

ต้นสะตออีสาน สะตอโคราช ลูกดิ่ง

รหัส:
226934
ราคา:
200.00 บาท
ติดต่อ:
คุณปุณณภา งานสำเร็จ
ที่อยู่ร้าน:
อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา
ร้านนี้ยังไม่มีการแจ้งเลขทะเบียนพานิชย์ เปิดร้านมาแล้ว 14 ปี 9 เดือน
ไอดีไลน์:
โทรศัพท์:
ปุ่มติดต่อ:
คำเตือน: โปรดตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการทุจริต การขอชำระเงินปลายทางเมื่อรับสินค้าถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี
รายละเอียด
ขายต้นสะตออีสาน
ร้านวรากรสมุนไพร
ID Line varakhonherbs
โทร 0821515014
ต้องการมาดูสินค้า พิมพ์ในกูเกิล หาคำว่า วรากรสมุนไพร คลิ๊กเลือกแผนที่
รบกวนโทรนัดหมายล่วงหน้านะคะ
สะตอโคราช ลูกดิ่ง โทร 0821515014
ชื่ออื่น ค้อนกลอง มะขามเฒ่า อีเฒ่า ค้อนกลอด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Parkia sumatrana Miq.
วงศ์ MIMOSACEAE
ชอบขึ้นอยู่บริเวณริมแม่น้ำ ลำธาร ป่าดงดิบแล้ง ที่ระดับความสูง 100-900 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นพืชท้องถิ่นของทางสุมาตรา บอร์เนียว มาเลเซีย และแถบอินโดจีน ประเทศไทยพบที่ จ.นครราชสีมา สระบุรี ปราจีนบุรีและจันทบุรี
“ลูกดิ่ง…เป็นพืชที่มีศักยภาพในเรื่องราคาและคนนิยมบริโภคมาก ซึ่งผลผลิตจากป่าที่ชาวบ้านเข้าไปเก็บและนำมาจำหน่ายในท้องตลาดนั้น ยังไม่พอเพียงต่อการบริโภคของคนทั่วไป ประกอบกับจำนวนต้นลูกดิ่ง
ภายในบริเวณป่าของสถานีวิจัย ก็มีเพียงจำนวนจำจัดและมีการขยายพันธุ์
ตามธรรมชาติค่อนข้างช้า เนื่องจากฝักของลูกดิ่งมักถูกชาวบ้านเก็บไปก่อน
ที่ฝักจะแก่ นอกจากการรณรงค์และส่งเสริมการปลูกลูกดิ่งแล้ว เราจะมีการ
ส่งเสริมการปลูกพืชท้องถิ่นชนิดอื่นๆ ตามมาอีกและจะมีการอบรมให้
ความรู้เกี่ยวกับการเพาะเห็ด แก่ชุมชนโดยรอบสถานีวิจัยด้วย..” หัวหน้าสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช…กล่าวถึงความสำคัญของ ลูกดิ่งหรือสะตออีสาน..และโครงการในอนาคต
ลูกดิ่งเป็นพืชในสกุลสะตอ รูปร่างลักษณะฝัก
เหมือนกับสะตอภาคใต้แต่แตกต่างกันคือ ลูกดิ่ง
มีเมล็ดเรียงตัวตามความยาวของฝัก หรือตาม
แนวดิ่งจึงเรียกว่า ลูกดิ่ง ส่วนสะตอใต้ เมล็ดจะ
เรียงตัวขวางตามความยาวฝัก พืชสกุลสะตอ
จะพบขึ้นอยู่บริเวณเขตร้อนชื้นทั่วไป พบได้ที่ มาเลเซีย บูรไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ พม่า เวียดนาม ไม้สกุลนี้มีอยู่ประมาณ 40 ชนิด แต่ในประเทศ
ไทยมีอยู่ 4ชนิดคือสะตอเหรียงลูกดิ่งและค้อนก้อง
“นอกจากจะเป็นพืชที่มีอนาคตทางการค้าแล้ว สะตออีสานยังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจคือ ช่วยลดความดันในเลือด ลดเบาหวาน ช่วยให้ลำไส้บีบตัว ลดการตกตะกอน
ของเลือด เป็นยาระบายอ่อนๆ ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียในร่างกายได้ นับเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์หลากหลาย ทั้งนี้ หากมีการปลูกกันแพร่หลายจะทำให้มีสะตอรับประทาน
กันทั้งปี และจะมีการใช้สารเคมีลดลง เนื่องจากการปลูกสะตอนั้นไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการบำรุงรักษาแต่อย่างใด ซึ่งจะทำให้สิ่งแวดล้อมโดยรวมปลอดภัยด้วย”
ลูกดิ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงถึง 25 เมตร ไม่ผลัดใบ
กิ่งมีขนสีน้ำตาลหรือเกือบเกลี้ยง เปลือกนอกสีน้ำตาลเทา เปลือกแตกเป็นสะเก็ด
เปลือกในสีน้ำตาลแดง เปลือกหนา ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ใบย่อย 12-27 คู่
ต่อหนึ่งก้าน (Rachis) ใบเรียงสลับ ใบย่อยเรียงตรงข้าม ใบรูปขอบขนาน
รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ขนาด 0.4 - 1 x 1 -2 เซนติเมตร ฐานใบทู่ เบี้ยวหรือขึ้น
เป็นตั้งเล็กน้อย ขอบใบเรียบ ปลายใบตัดหรือเว้าเป็นแอ่งตื้น ๆ เส้นใบเห็นชัดเฉพาะ
เส้นกลางใบ หลังใบเขียวเข้ม ท้องใบสีเขียวนวล
ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น (Compound head) ประกอบด้วยดอกขนาดเล็กมาติดกันเป็นช่อกลม
ห้อยระย้าใต้พุ่มเรือนยอดคล้ายดอกสะตอ ดอกสีเหลือง (สะตอสีเหลืองอ่อน) ช่อดอกยาว 30 -40 เซนติเมตร
ผลเป็นฝัก (Pod. Legume) ขนาด 2 - 3 x 25 -35 เซนติเมตร ขนาดเล็กว่าสะตอ ฝักบิดเวียนเล็กน้อย
เมล็ดเรียงตามยาว (สะตอเรียงตามขวาง) ฝักแก่ไม่แตก สีดำ
ระยะที่ออกดอกออกผล
ออกดอกเดือนตุลาคม - ธันวาคม
ออกผลเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
สะตอเป็นไม้อิงอาศัยต้องอาศัยต้นไม้อื่นขนาบรอบข้างและปลูกต้นเดี่ยวๆไม่ได้จะไม่มีฝัก ต้องปลูกหลายๆต้นด้วยกัน
ระบบการปลูกและการบำรุงรักษาสะตอ, สะตออีสานหรือลูกดิ่ง
ระบบการปลูก
เนื่องจากสะตอเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดพื้นเพเดิมอยู่ในป่าดงดิบชื้น จึงต้องการความชื้นมาก
เป็นพิเศษ แหล่งที่ปลูกสะตอจึงควรมีฝนตกอย่างน้อยปีละ 1,500 – 2,000 มิลลิลิตร สะตอจะขึ้นได้ดีในดินเหนียวปนทรายหรือดินร่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในป่าเปิดใหม่ หรือดินที่มีความชื้นสูงไม่ว่าจะเป็นที่ราบหรือที่เนินสะตอก็สามารถขึ้นได้ทั้งนั้น โดยสามารถขึ้นได้ดีในที่สูงถึง 2,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิ 20 – 30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 75 – 80%
ดังนั้นในการเลือกพื้นที่ที่จะปลูกสะตอจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสะตอเป็นสำคัญ คือลักษณะของดิน ปริมาณน้ำฝน และความชื้นในอากาศ นอกจากนี้จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วยคือ พื้นที่ที่จะปลูกควรมีการคมนาคมที่สะดวก สามารถเคลื่อนย้ายผลผลิตได้รวดเร็ว และอยู่ใกล้กับแหล่งตลาดไม่ว่าตลาดจำหน่ายผลผลิตหรือตลาดที่จะติดต่อเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือวัสดุทางเกษตร
ระยะปลูก เนื่องจากสะตอเป็นพื้นที่มีลักษณะพุ่มกว้างพอสมควร ดังนั้นระยะปลูกที่เหมาะสมควรจะเป็น 10 x 10 เมตร หรือ 12 x 12 เมตร จำนวนต้นที่ปลูกประมาณ 16 หรือ 11 ต้น ต่อไร่ การปลูกนั้นเนื่องจากมีระยะปลูกที่ห่างมาก จึงสามารถปลูกพืชชนิดอื่นแซม หรือไม้บังร่ม ในลักษณะวนเกษตร ( Agroforesty ) โดยสะตอมีลักษณะเรือนยอดที่โปร่ง สามารถปลูกพืชที่ไม่ต้องการแสงมากภายใต้ร่มเงาได้ดี เช่น กาแฟ ( Coffee canephora ) กล้วย ( Musa sp. ) มังคุด ( Garcinia mangostana ) เงาะ ( Nephelium lappaceum ) และยังสามารถเจริญเติบโตพร้อมกับไม้ที่มีระดับความสูงของเรือนยอดใกล้เคียงกัน เช่น ขนุน ( Artocarpus heterophyllus ) ทุเรียน ( Durio zibethinus ) และมะพร้าว ( Cocos nucifera ) นอกจากนี้ยังสามารถปลูกสะตอโดยมีพืชแซมหลายชนิดอยู่ด้วยกัน เช่น การปลูกสะตอโดยมี ลองกอง ส้ม มะละกอ หรือ กล้วยเป็นพืชแซมไปพร้อม ๆ กัน
หลุมปลูก ใช้ขนาด 1 x 1 x 1 เมตร ใส่ปุ๋ยหินฟอสเฟตรองก้นหลุมๆ ละ 1 กระป๋องนม พร้อมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 บุ้งกี๋ คลุกเคล้าแล้วกลบหลุมให้เต็ม
ฤดูปลูก ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนคือประมาณเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน
วิธีปลูก ใช้จอบขุดดินในหลุมให้กว้างลึกมีขนาดพอดีเท่ากับถุงที่ใช้เพาะต้นกล้า แล้วทำการปลูกใช้ไม้ปักแนบลำต้นผูกเชือกยึดกันลมโชก รดน้ำให้ชุมชื้น ทำร่มเงาให้โดยอาจใช้ทางมะพร้าวมามุงหลังคาบังแดดทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี ( ทั้งต้นปลูกจากต้นเพาะเมล็ดและไว้สำหรับทำต้นตอ )
รูปแบบของการปลูกสะตอพอจะแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
การปลูกลักษณะผสมกับไม้หลายชนิด หรือลักษณะ Home Gardens
การปลูกลักษณะนี้เป็นการปลูกร่วมกับผลไม้ หรือพืชเกษตรอื่นๆ ในลักษณะ
สวนหลังบ้าน โดยจุดประสงค์หลักมุ่งเน้นทั้งผลผลิตไม้ผลหลายชนิดในเนื้อที่เดียวกัน เช่น มะพร้าว ทุเรียน มังคุด เงาะ ขนุน และกล้วย โดยสะตอจะเป็นไม้อยู่ในระดับเรือนยอดเด่น คือมีความสูงประมาณ 15 – 20 เมตร ดังลักษณะโครงสร้างการปลูกผสมไม้อื่น
1.2 การปลูกเพื่อผลผลิตทางธุรกิจโดยตรง
การปลูกสะตอในลักษณะพืชเศรษฐกิจแทนการปลูกเพื่อการบริโภคภายในครัว
เรือนเหมือนอย่างแต่ก่อน พื้นที่ปลูกสะตอจึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นแนวโน้มของการปลูกสะตอเพื่อ อุตสาหกรรม จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เนื่องจากตลาดมีความต้องการสะตอค่อนข้างสูงและลู่ทางการขยายการตลาดยังมีความเป็นไปได้มากทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ
การปลูกไม้สะตอในเชิงธุรกิจ ปลูกเป็นแถวใช้ระยะปลูก 10 x 10 หรือ 12 x 12 เมตร ในระหว่างแถวมีการปลูกพืชเกษตรทั้งในระยะสั้น เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง ด้วยระยะปลูกเดียวกันแทรกระหว่างแถวก็ได้
2. การบำรุงรักษา
หลังจากปลูกสะตอแล้วจะต้องทำการดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเร่งการเจริญ
เติบโตของต้นพืช และให้ต้นพืชมีความสมบูรณ์สูง
การให้น้ำ รดน้ำให้ชุมชื่นเสมอ สะตอที่ปลูกใหม่ในปีแรก ควรให้น้ำวันเว้นวันในช่วง
หน้าแล้ง เมื่อ อายุ 2 – 3 ปี ควรใช้น้ำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ในช่วงหน้าแล้งควรหาเศษพืชคลุมโคนเพื่อรักษาความชื้น สำหรับต้นสะตอที่ให้ผลแล้วระยะที่ต้องการน้ำมากคือช่วงระยะออกดอกถึงติดฝักจนเก็บเกี่ยวได้ ในช่วงฤดูฝนควรเตรียมร่องระบายน้ำด้วย
การพรวนดิน ควรทำตั้งแต่เริ่มปลูกต้นไป ปีละประมาณ 3 ครั้ง เพื่อช่วยกำจัดวัชพืช
และถ่ายเทอากาศในดิน หลังจากให้ผลแล้วควรทำการพรวนดินในช่วงก่อนออกดอก และหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว
การให้ปุ๋ยสะตอ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ในช่วงระยะที่ต้นสะตอยังไม่ให้ผลผลิต ปุ๋ยที่ใช้
สำหรับใส่ให้ต้นสะตอในช่วงนี้คือ ปุ๋ยเคมีสูตร 16 – 20 – 0 โดยใส่อัตรา (กิโลกรัม) ครึ่งหนึ่งของอายุต้นสะตอ ใน 1 ปี ให้ใส่ 2 ครั้ง คือ พฤษภาคมและตุลาคม และควรใส่ปุ๋ยคอกลงไปด้วยประมาณ 1 – 2 บุ้งกี๋
ในช่วงระยะที่ต้นสะตอให้ฝักแล้ว ปุ๋ยที่จะใช้ใส่ในช่วงนี้คือปุ๋ยเคมีสูตร 12 – 24 –12 ใน
อัตราครึ่งหนึ่งของอายุต้นพืช ในแต่ละปีจะให้ปุ๋ย 2 ครั้ง โดยให้ช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝนแรกและในระหว่างใส่ปุ๋ยเคมีควรผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปด้วย เมื่อสะตออายุ 5-6 ปี และต้นมีความสมบูรณ์ได้เต็มที่ก็จะให้ผลผลิต
ลูกดิ่ง 1 ต้น จะใช้เวลาในการปลูกประมาณ 5 ปี ก็จะสามารถเก็บ
ผลผลิตได้ 1 ต้น จะให้ผลผลิตประมาณ 450 กิโลกรัม ซึ่งใน
ปัจจุบันจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 20 บาท/กิโลกรัม
แก้ไขข้อมูลเมื่อ 18 ก.พ. 61 11:57
คำสำคัญ: สะตอ ต้นสะตอ