ลักษณะพฤกษศาสตร์ของกุ่มน้ำ (3874)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Crateva magna (Lour.) DC.
ชื่อวงศ์: Cappardaceae
ชื่อพื้นเมือง: ผักกุ่ม, รอถะ, เหาะเถาะ, อำเภอ
ลักษณะทั่วไป:
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบ เรือนยอดแผ่กว้าง ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40 ซม. มีความสูงประมาณ 4-20 เมตร ลำต้นมักคดงอและแตกกิ่งต่ำ เปลือกค่อนข้างเรียบสีเทาอมขาวหรือเทาแต้มขาวเป็นทาง มีช่องระบายอากาศเล็กๆตามผิวทั่วไป
ใบ ใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ ก้านใบประกอบยาว 4-14 เซนติเมตร ใบย่อย
รูปหอกหรือรูปขอบขนาน กว้าง 1.5- 6.5 เซนติเมตร ยาว 4.5-18 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนามัน ใบเกลี้ยง
ดอก สีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงหลั่นที่ปลายกิ่ง ช่อยาว 10-16 เซนติเมตร มีดอกย่อย 12-20 ดอก กลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูปรี กลีบดอก 4 กลีบ รูปรีหรือทรงกลม ดอกบานเต็มที่กว้าง 3-4 เซนติเมตร
ฝัก/ผล ผลแห้ง แก่ไม่แตก ทรงกลมหรือรี กว้าง 1.5-4.5 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร ผิวเปลือกหนามีสะเก็ดบาง ๆ ซึ่งจะเป็นสีเหลืองอมเทาขึ้นอยู่ทั่วไป
เมล็ด สีน้ำตาลเข้มรูปเกือกม้า มีจำนวนมาก มีขนาดหนาประมาณ 2-3 มม. ยาวประมาณ 6-9 มม.
ฤดูกาลออกดอก: ธ.ค.-เม.ย.
การขยายพันธุ์: ใช้เมล็ด หรือการปักชำกิ่ง หรือการตอน
การปลูก: ขึ้นได้ในดินทั่วไปที่อยู่ริมน้ำ
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ใบ
การใช้ประโยชน์: - ปลูกเป็นไม้ประดับ
- สมุนไพร
สรรพคุณทางยา: - เปลือก ต้นใช้เป็นยาระงับพิษที่ผิวหนัง แก้ไข้ แก้อาเจียน
- ใบ เป็นยาเจริญอาหาร ยาระบาย ขับพยาธิ แก้ปวดเส้น แก้โรคไขข้ออักเสบ
- ดอก รสเย็น แก้เจ็บตา และแก้เจ็บในคอ
- ลูก รสขม แก้ไข้
- ราก รสร้อน แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ
การปรุงอาหาร: ดอกและใบอ่อนดองหรือต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้
ชื่อวงศ์: Cappardaceae
ชื่อพื้นเมือง: ผักกุ่ม, รอถะ, เหาะเถาะ, อำเภอ
ลักษณะทั่วไป:
ต้น ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบ เรือนยอดแผ่กว้าง ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40 ซม. มีความสูงประมาณ 4-20 เมตร ลำต้นมักคดงอและแตกกิ่งต่ำ เปลือกค่อนข้างเรียบสีเทาอมขาวหรือเทาแต้มขาวเป็นทาง มีช่องระบายอากาศเล็กๆตามผิวทั่วไป
ใบ ใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ ก้านใบประกอบยาว 4-14 เซนติเมตร ใบย่อย
รูปหอกหรือรูปขอบขนาน กว้าง 1.5- 6.5 เซนติเมตร ยาว 4.5-18 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนามัน ใบเกลี้ยง
ดอก สีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงหลั่นที่ปลายกิ่ง ช่อยาว 10-16 เซนติเมตร มีดอกย่อย 12-20 ดอก กลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูปรี กลีบดอก 4 กลีบ รูปรีหรือทรงกลม ดอกบานเต็มที่กว้าง 3-4 เซนติเมตร
ฝัก/ผล ผลแห้ง แก่ไม่แตก ทรงกลมหรือรี กว้าง 1.5-4.5 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร ผิวเปลือกหนามีสะเก็ดบาง ๆ ซึ่งจะเป็นสีเหลืองอมเทาขึ้นอยู่ทั่วไป
เมล็ด สีน้ำตาลเข้มรูปเกือกม้า มีจำนวนมาก มีขนาดหนาประมาณ 2-3 มม. ยาวประมาณ 6-9 มม.
ฤดูกาลออกดอก: ธ.ค.-เม.ย.
การขยายพันธุ์: ใช้เมล็ด หรือการปักชำกิ่ง หรือการตอน
การปลูก: ขึ้นได้ในดินทั่วไปที่อยู่ริมน้ำ
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ใบ
การใช้ประโยชน์: - ปลูกเป็นไม้ประดับ
- สมุนไพร
สรรพคุณทางยา: - เปลือก ต้นใช้เป็นยาระงับพิษที่ผิวหนัง แก้ไข้ แก้อาเจียน
- ใบ เป็นยาเจริญอาหาร ยาระบาย ขับพยาธิ แก้ปวดเส้น แก้โรคไขข้ออักเสบ
- ดอก รสเย็น แก้เจ็บตา และแก้เจ็บในคอ
- ลูก รสขม แก้ไข้
- ราก รสร้อน แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ
การปรุงอาหาร: ดอกและใบอ่อนดองหรือต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้