ค้นหาสินค้า

แนะวิธีจัดการกิ่งพันธุ์และดูแลแปลงมันสำปะหลัง ในภาวะเพลี้ยแป้งระบาด

มันสำปะหลัง เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศไทย เป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนได้เป็นอย่างดีเนื่องจากเป็นพืชที่สามารถ ทนความแห้งแล้งและปลูกได้ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีโรคและแมลงรบกวนน้อย แต่ในปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องประสบปัญหาเพลี้ยแป้งระบาดสร้าง ความเสียหายให้แก่เกษตรกรเป็นอย่างมาก เพราะเพลี้ยแป้งสามารถแพร่ระบาดลุกลามขยายเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว และในช่วงแล้งนี้การระบาดมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น    
   
เพลี้ยแป้ง นับเป็นศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกมัน สำปะหลังเป็นอย่างมาก เพราะเพลี้ยแป้งจะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบและยอดมันทำให้ยอดหงิก หากการทำลายรุนแรงมากๆ ทำให้มันสำปะหลังไม่สามารถผลิตหัว หรือผลิตได้แต่ขนาดเล็กมากทำให้เกิดความเสียหายตั้งแต่ 10-100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้การแพร่กระจายเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะเพลี้ยแป้งสามารถติดไปกับท่อนพันธุ์ที่มีการขนย้ายจากแหล่งที่มีการระบาดไปยังแหล่งปลูกมันอื่น คาดว่าการระบาดมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นในช่วงแล้งที่ใกล้จะมาถึงและคาดว่าการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังจะทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังลดลง และหากยังคงมีการระบาดความเสียหายก็จะรุนแรงมากขึ้น    
   
ดังนั้น เกษตรกรจะต้องมีการจัดการแปลงปลูกมันสำปะหลังอย่างถูกวิธีโดยเฉพาะช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังและเตรียมกิ่งพันธุ์ไว้สำหรับปลูกในฤดูกาลต่อไป กรมส่งเสริมการเกษตรขอแนะนำแนวทางการจัดการกิ่งพันธุ์มันสำปะหลังและการดูแลรักษาแปลงในภาวะที่มีเพลี้ยแป้งระบาด ดังนี้    
   
การเก็บกิ่งพันธุ์มะสำปะหลัง เกษตรกรจะต้องคัดกิ่งพันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง และชุบก่อนปลูกด้วยสารเคมีก่อนปลูก ได้แก่ Thiamethoxam 25% wg (หรือ ชื่อการค้า แอคทารา) อัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร แช่ประมาณ 5 -10 นาที จะสามารถป้องกันเพลี้ยแป้งหลังปลูกได้นาน 1 เดือน    
   
ห้ามเคลื่อนย้ายกิ่งพันธุ์จากแหล่งระบาดไปสู่แหล่งที่ยังไม่มีแมลงระบาด เพราะจะเป็นการกระจายเพลี้ยแป้งไปสู่แหล่งปลูกอื่น ๆ    
   
ในจังหวัดที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้ง ขอให้เกษตรกรอย่าได้นิ่งนอนใจ ให้หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบเพลี้ยแป้ง ให้ดำเนินการดังนี้    
   
- การตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ ทุก ๆ 2 - 4 สัปดาห์ ในแปลงที่ยังไม่เคยมีการระบาด หากเป็นแปลงที่เคยระบาดควรตรวจแปลงทุกสัปดาห์    
   
- สำรวจเพื่อกำหนดจุดเริ่มระบาดของเพลี้ยแป้ง ในกรณีที่มีการชุบท่อนพันธุ์ก่อนปลูกเกษตรกรอาจตรวจแปลงจากชายขอบแปลงที่มี พื้นที่ติดต่อกับแปลงปลูกมันสำปะหลังของเพื่อนบ้าน    
   
- เมื่อพบจุดเริ่มแพร่ระบาด ให้หักยอด และทำลายกิ่งที่ถูกเพลี้ยแป้งเข้าทำลาย โดยการเผา หรือใส่ถุงดำปิดปากถุงให้มิดชิด และวางตากแดดไว้ หรือขุดหลุมฝังกลบ    
   
- ปล่อยแมลงศัตรูธรรมชาติ ได้แก่แตนเบียน หรือตัวห้ำ ได้แก่แมลงช้างปีกใส    
   
- เกษตรกรควรเตรียมแปลงพันธุ์มันสำปะหลังที่มีการดูแลอย่างดี ปลอดจากเพลี้ยแป้ง ไว้เป็นแหล่งพันธุ์ของตนเอง    
   
เกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว เกษตรกรมีความจำเป็นต้องเก็บกิ่งพันธุ์สำหรับฤดูกาลต่อไป ให้คัดเลือกต้นที่มีขนาดใหญ่ แข็งแรง ตัดส่วนที่มีผลกระทบจากเพลี้ยแป้งเข้าทำลายทิ้ง คือส่วนที่ข้อและปล้องสั้น และถี่กว่าปกติ จากนั้นนำกิ่งพันธุ์เหล่านั้นชุบสารเคมีตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และวางตั้งกองไว้ ลักษณะการวางกองให้โปร่งกว่าปกติ ควรมีการตรวจเป็นระยะๆ ว่ามีเพลี้ยแป้งเกิดขึ้นหรือไม่ หากมีต้องใช้สารเคมีฉีด และเมื่อถึงช่วงเวลาที่จะปลูกให้ชุบท่อนพันธุ์อีกครั้งหนึ่ง หากเกษตรกรต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอ สำนักงานเกษตรจังหวัด หรือศูนย์บริหารศัตรูพืชในพื้นที่    

ให้พ่นด้วยสารฆ่าแมลงไทอะมี โทแซม 25% ดับเบิลยูจี หรือโปรไทโอฟอส 50% อีซี อัตรา 4 กรัม หรือ 50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นในแปลงที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้ง

กรมวิชาการเกษตรแนะวิธีป้องกันดังนี้    
   
1.หลีกเลี่ยงการปลูกมันฯ ในฤดูแล้งป้องกันการระบาด    
2.ไถพรวนดินหลายๆ ครั้ง และตากดินอย่างน้อย 14 วัน    
3.แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารไทอะมีโทแซม 25% WG 4 กรัม/น้ำ 20 ลิตร    
4.ตรวจแปลงทุกสัปดาห์    
5.ถ้าพบระบาดในมันฯ อายุ 1-4 เดือน ให้ถอนทิ้งแล้วไปทำลายนอกแปลง    
6.ถ้าพบระบาดในมันฯ อายุ 4-8 เดือน ให้ตัดยอดหรือถอนต้นนำไปทำลายและพ่นสารไทอะมีโทแซม 25 % WG อัตรา 8 กรัม/น้ำ 80 ลิตร/ไร่    
7.ถ้าพบระบาดในมันฯ อายุกว่า 8 เดือน ควรเก็บผลผลิตแล้วตัดต้นนำไปทำลาย ทำความสะอาดแปลง ปลูกข้าวโพด อ้อย ข้าวฟ่าง ทานตะวัน และพืชตระกูลถั่วแทน

ในช่วงหน้าแล้ง ขอให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังไปก่อน เพราะมีการระบาดของเพลี้ยแป้งสีชมพู ช่วงปลูกที่เหมาะสม คือ ช่วงฤดูฝน คือประมาณเดือน เม.ย. – พ.ค.ของฤดูปลูกปี 2553 ที่สำคัญก่อนปลูกต้องชุบท่อนพันธุ์ด้วยสารฆ่าแมลงสารไทอะมิโทแซมทุกครั้ง และอย่านำท่อนพันธุ์จากแหล่งที่เคยระบาดของเพลี้ยแป้งมาปลูก นอกจากนี้ก็ต้องออกสำรวจแปลงแป้งมันสำปะหลัง หากพบการระบาด ขอให้รีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่เกษตรตำบลหรือเกษตรอำเภอท้องที่โดยด่วนที่สุด เพราะจะได้ช่วยกันควบคุมและป้องกันมิให้เพลี้ยแป้งสีชมพูระบาดเป็นวงกว้าง และยากต่อการควบคุม

คำสำคัญ: