ลักษณะพฤกษศาสตร์ของบัวฝรั่ง (3588)
ชื่อวงศ์: Nymphaeaceae
ชื่อสามัญ: Hardy water-lily
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นไม้โผล่เหนือน้ำ มีหัวหรือเหง้าใต้ดิน
ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบรูปไข่หนาค่อนข้างกลม ขนาด 15-25 เซนติเมตร ขอบใบเรียบหรือหยักซี่ฟัน แผ่นใบหนา ผิวใบด้านบนสีเขียวสดเป็นมัน ก้านใบและก้านดอกมักมีขนนุ่มปกคลุม
ดอก สีขาว เหลือง ชมพู แสด แดง มักไม่มีกลิ่นหอม ในบางพันธุ์อาจมีกลิ่นฉุนหรือมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นดอกเดี่ยวจากเหง้า ก้านดอกอวบกลม ผิวเรียบหรือมีขนปกคลุมมากน้อยแล้วแต่พันธุ์ ส่งดอกขึ้นลอยที่ผิวน้ำ ดอกรูปถ้วยหรือค่อนข้างกลม กลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนกันหลายชั้น ดอกบานช่วงเข้าถึงบ่ายหรือเย็น ดอกบานเต็มที่กว้าง 6-8 เซนติเมตร
ฝัก/ผล ผลสดแบบมีเนื้อ รูปไข่ถึงทรงกลม เปลือกหนา
เมล็ด สีดำ มีเมล็ดจำนวนมาก
ฤดูกาลออกดอก: ออกดอกดกในฤดูฝน
การปลูก: ปลูกเป็นไม้ประดับในภาชนะหรือสระน้ำธรรมชาติที่ลึกไม่เกิน 40 เซนติเมตร
การดูแลรักษา: ชอบดินเหนียวที่มีอินทรียวัตถุ เจริญได้ดีที่ระดับน้ำ 20 - 100 cm. พื้นที่ผิวน้ำ 0.5 - 1 m2 มีแสงแดดครึ่งวันถึงเต็มวัน บัวฝรั่งทุกพันธุ์ถ้านำมาปลูกในเขตร้อน เช่น เมืองไทย การพักตัวจะขึ้นอยู่กับพันธุ์บัว ภาวะ และช่วงเวลาของความหนาวเย็น ถ้าเริ่มต้นมีอากาศหนาวเย็นมาก และนานตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป บัวฝรั่งบางพันธุ์จะแสดงอาการพักตัว บางพันธุ์จะยังไม่แสดงอาการจนกว่าจะมีอากาศหนาวอีกครั้ง (คือ บรรยากาศในภาคกลางของไทย) ซึ่งจะสลัดใบลอยออกและผลิใบหนาที่มีก้านสั้นอยู่ใต้น้ำ ถ้าปลูกในกรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคใต้ของไทย บางทีถ้าอากาศไม่เป็นดังที่กล่าว บัวอาจจะพักตัวหรือไม่ก็ได้ ถ้าอากาศไม่หนาวเกินไป อีกปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือ ความเย็นของน้ำที่ปลูกบัว ปกติบัวสามารถเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิระหว่าง 20-30 องศาเซลเซียส ณ จุดยอด (Crown) ของบัวใต้น้ำ ถ้าอุณหภูมิลดต่ำหรือสูงขึ้นประมาณ 5 องศาเซลเซียส บัวจะเจริญเติบโตอยู่ได้ แต่ไม่งาม
การขยายพันธุ์: แยกหน่อหรือเหง้า
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอก ขึ้นอยู่กับชนิด
การใช้ประโยชน์: ไม้ประดับ
ถิ่นกำเนิด: ฝรั่งเศส และประเทศทางแถบยุโรป